ก้าวแรก “บิ๊ก ณภัทร”ผู้กำกับรุ่นใหม่ M39 ที่ไปคว้ารางวัลระดับโลกมาครอง
จากเด็กหนุ่ม ผู้ผลิต คิด และทำหนังสั้นประกวดมากว่า 70 เรื่อง ทุกเวทีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จากคนที่ล้มเหลวประสบปัญหา อุบัติเหตุ ช่วงวิกฤติที่สุดของชีวิต จนถึงวันที่เขามีแรง มีพลัง มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท จนไปคว้ารางวัลชนะเลิศในเวทีระดับโลกที่ เกาหลีใต้ มาครองได้สำเร็จ “บิ๊ก - ณภัทร ตั้งสง่า” เล่า “สวัสดีครับ ผมบิ๊ก - ณภัทร ตั้งสง่า ปัจจุบันเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่นักเขียนบท ผู้อำนวยการสร้างผมจบการศึกษา ปริญญาตรีนิเทศศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภาควิชาภาพยนตร์(ทุนBU Creative และ ทุน BU to NEW YORK)ปริญญาโท นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา Digital Marketing มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (ทุนศิลปิน)
- เป็นตัวแทนไทยที่ได้รับรางวัลด้านภาพยนตร์ในระดับประเทศและระดับนานาชาติรวมแล้วกว่า30เวที และได้เป็นตัวแทนประเทศไทยประจำปี 2013 เข้าร่วมโครงการพัฒนาผู้นำเยาวชนด้านภาพยนตร์ระดับเอเชีย (Film Leaders
Incubator) ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ และที่เกาะ ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
- เป็นตัวแทนประเทศไทยนำภาพยนตร์สั้นไปฉายในหมวดShortFilm
Corner เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2015
- ได้รับทุน Fantastic
Film School จากเทศกาลภาพยนตร์ Bucheon International Fantastic Film
Festival (BIFAN) ในปี 2018
- เป็นตัวแทนประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุน AFiS Busan
Asian Film School โรงเรียนชั้นนำด้านภาพยนตร์ติดอันดับโลกของเกาหลี ในช่วงปี 2020-2021 และได้รับรางวัลชนะเลิศพิชชิ่งโปรเจคภาพยนตร์ขนาดยาวจากโรงเรียน และหน่วยงาน Busan Film Commission ครับ.
ผมเริ่มต้นทำหนังตั้งแต่อายุ 15 ได้รับรางวัลหนังสั้นครั้งแรกตอนอยู่ม.4 ตอนที่สอบตก. จนม.6 ผลงานหนังสั้นก็ได้มีโอกาสไปฉายที่ญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปร่วมเทศกาลหนังที่ต่างประเทศและเจอเพื่อนๆทำหนังต่างชาติมากมาย เคยไปแกร่วอยู่ที่อเมริกามาเกือบปีช่วงจบ ม.6 ตอนนั้นอยากเข้าไปเรียนฟิล์มระดับโลก มีช่วงที่หันไปทำหนังสั้นล่ารางวัลจนได้ฉายา นักล่ารางวัลไปเลยช่วงนึง ตอนอยู่มหาลัย มีปีนึงทำหนังสั้นไปตั้ง 15 เรื่อง
หลายๆคนอาจเจอวิกฤติชีวิตในช่วงโควิด แต่ผมโดนรับน้องก่อนหน้านั้นปีนึงครับ ปีนั้นผมเจอหลายอย่างมากเช่น งานโดนแคนเซิลเป็นสิบงาน โดนคนใกล้ตัวโกง เผลอล้างคอมจนไฟล์สำคัญในรอบปีครึ่งหายไปแล้วกู้ข้อมูลกลับมาไม่ได้ ลาออกจากโปรเจคทำมาร่วมปี แต่วิสัยทัศน์ไม่ตรงกับลูกค้า แต่ความพีคในปีนั้นอยู่ที่วันที่ 7 เดือน 7 ของปีนั้น ในวันฝนตกกระหน่ำ
พูดตรงๆคือผม “เกือบตาย” คือประสบอุบัติเหตุลื่นล้มอย่างแรง ผลลัพธ์คือกระดูกสันหลังหักไปสองจุด ต้องนอนบนเตียงเฉยๆสามเดือน หลังจากนั้นผมเลยนั่งทบทวนชีวิตทั้งหมด ไปจนถึงไล่ดูหนังหลายร้อยเรื่อง
คิดอย่างเดียวว่า “ขอแค่ไม่พิการ และลุกออกไปเดินสองขาใช้ชีวิตแบบเดิมได้เราก็ดีใจแล้ว” พอเราลุกกลับมาได้ใหม่อีกครั้ง เลยสัญญาว่าจากนี้ แข่งกับตัวเองนะ ซึ่งพอเราปล่อยวางแบบนั้น มันกลับมีความสุขกว่าเยอะเลย ในปีนั้นคุยกับเพื่อนๆจนรู้สึกว่าอยากทำโปรเจคหนังเรื่องนึงมากๆเมื่อProject P. หรือต่อมาที่เรารู้จักกันในชื่อ The
President เมื่อผมลุกออกไปไหนมาไหนได้อีกครั้ง เลยหาคอร์สเขียนบทเพื่อพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง จนได้ไปเรียนคอร์สนึงที่ชื่อว่า Writer
Lab ของพี่ปุ๊ก พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ คลาสนั้นเขาให้เอาโปรเจคหนังยาวมาพรีเซนหน้าห้องและพูดคุยกัน พอผมพูดจบ อยู่ดีๆก็มีพี่คนนึงที่เป็นนักเรียนร่วมคลาส ชวนผมมาพูดคุยทำความรู้จักด้วย เลยมารู้ทีหลังว่า พี่เขาไม่ใช่แค่นักเรียนในคลาส แต่เป็นผู้บริหารค่ายภาพยนตร์
จากวันที่ได้รู้จักกัน พี่นก (คุณนก-ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์”
Managing Director & Executive Producer ผู้บริหาร บริษัท เอ็มเทอร์ตี้ไนน์ (M39) จำกัด ) พี่นกได้ให้คำแนะนำอะไรกับบิ๊กบ้างครับ ?
“หลังจากที่ได้รู้จักพี่นก ผมจำได้ตั้งแต่วันแรกเลยว่าพี่นกสนใจโปรเจคที่ผมกำลังพัฒนาอยู่ แต่ตอนนั้นผมก็สองจิตสองใจว่าจะลุยเอาจริงกับมันเลยดีไหมนะ เพราะตอนนั้นก็มีอีกโปรเจคนึงที่รักมากๆ และพัฒนามาหลายปี อยากทำด้วยเช่นกัน แต่สุดท้าย ผมก็เบนเข็มมาที่โปรเจคนี้ก่อน เพราะเห็นถึงความเป็นได้หลายอย่างที่น่าจะทำในช่วงเวลานี้มากกว่า ประจวบเหมาะกับช่วงที่เกิดเหตุการณ์โควิด พี่นกก็โทรมาถามความคืบหน้าว่า ไปถึงไหนแล้ว? ยังทำอยู่ไหม? ตอนนั้นพอพี่เขาเชียร์อัพว่าอยากให้เรื่องนี้ได้ทำเป็นหนังใหญ่ฉายโรง จนเราคลอดบททรีตเมนต์ซีนาริโอออกมาก่อนที่บทร่างนี้ ทางเกาหลีสนใจและให้ทุนเราไปเรียนและพัฒนาโปรเจคต่อที่นั่น ซึ่งผมก็อัพเดทส่งข่าวความคืบหน้าให้พี่นกเสมอครับ ผ่านไปอีกที 2 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ค่อยๆสุกงอมมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมลุยแล้วครับขอบคุณพี่นกและทางM39 ที่ผลักดันและให้โอกาสโปรเจคพวกเราครับ
“การส่งบทประกวดเวทีระดับโลก ผมรอมาสามปี แพ้มาสองรอบเพราะรอบนี้คือการสอบแข่งชิงทุนไปเรียนฟิล์มต่อที่เกาหลี ร่วมกับการพัฒนาโปรเจคภาพยนตร์ขนาดยาวที่นั่น และค่อยมาแข่งกันต่อว่าโปรเจคไหนที่จะได้รางวัลไปบ้างคือโรงเรียนที่ผมสมัครไปมีชื่อว่า AFiS Busan
Asian Film School เป็นแหล่งรวมคอนเนคชั่นของคนทำหนังหน้าใหม่ของเอเชีย เป็นสถาบันที่ได้รับการจัดลำดับให้ติดท๊อปInternational Film
School ของโลกเลยละครับ
ด้วยโลกที่เจอโรคโควิดพอดี เขาเลยแคนเซิลปีที่ผมควรจะได้ไป เลื่อนไปอีกปี สรุปคือ ปี2020กับ 2021 เลยได้เรียนรวมกันเลย ตอนนั้นมีประมาณสามสิบกว่าคนจากหลายสิบประเทศ แต่เทอมแรกเขาสอนเป็นระบบออนไลน์ มางานเข้าตรงเทอมที่สอง ที่รู้อีกทีคือ เราต้องแข่งขันอีกรอบเพื่อที่จะได้ไปเรียนเทอมต่อไปที่เกาหลี สุดท้ายคนที่ได้ไปก็เหลือเพียงสิบคน ส่วนเราก็รอดไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นเขาจึงมีการเรียนการสอน ควบคู่ไปกับการให้เมนทอร์จากฝั่งเกาหลี อยู่ที่นั่นสี่เดือน ซึ่งบางคนเป็นทีมงานผู้สร้างหนังรางวัลระดับโลก มาประกบเราและช่วยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรเจค จากนั้นเขาถึงให้มีการแข่งขันพิชโปรเจคกันอีกทีแต่ในส่วนตรงนี้ เขาเปิดให้คนที่ได้เรียนออนไลน์มาตั้งแต่เทอมแรกได้แข่งขันด้วย โปรเจคที่เข้าร่วมมันเลยมี 24 โปรเจค 17 ประเทศ
สุดท้าย THE
PRESIDENT ได้รับรางวัลชนะเลิศพิชชิ่ง BFC
Award หรือ Busan Film
Commission Award โดยทางกรรมการได้มีการคัดเลือกโปรเจคที่มีความโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยได้รับรางวัลชนะเลิศ ร่วมกับผลงานอีกเรื่องจากประเทศ คาซัคสถาน ครับผม”
นี่คือความชื่นใจ นี่คือแบบอย่างของความมุ่งมั่น ทุ่มเทตั้งใจ ทำอะไรก็ทำจริง ฝันให้ไกลและไปให้ถึง ของคนไทย. ซึ่งอีกไม่นานเกินรอ เราอาจจะได้เห็นหนุ่มคนนี้มีผลงาน กำกับหนังไทย ให้คนไทยได้ดู หรือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยในผลงานของเขาเป็นแน่ก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น